บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สรรพคุณทางสมุนไพรของมะนาว

สรรพคุณทางสมุนไพรของมะนาว


ผลมะนาวโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 – 4.5 ซม. ต้นมะนาวเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงเต็มที่ราว 5 เมตร ก้านมีหนามเล็กน้อย มักมีขนดก ใบยาวเรียวเล็กน้อย คล้ายใบส้ม ส่วนดอกสีขาวอมเหลือง ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าหนาว จะออกผลน้อย และมีน้ำน้อย



มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส

ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 2) ก็คือ การส่งเสริมโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักขายโรตีมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมาก

มะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง

ชื่อของมะนาว

มะนาวก็เหมือนกับส้มทั้งหลาย ที่มีปัญหาในการจัดหมวดหมู่และแยกแยะทางอนุกรมวิธาน สำหรับชื่อวิทยาศาสตร์ที่ค้นเคยของมะนาว ก็คือ Citrus aurantifolia Swingle หรือ "Citrus aurantifolia" ( Christm & Panz ) Swing." แต่ยังมีชื่ออื่นๆ อีก ดังนี้
C. acida Roxb.
C. lima Lunan
C. medica var. ácida Brandis และ
Limonia aurantifolia Christm

สำหรับชื่อสามัญนั้น ในหลายภาษาก็เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น ในภาษาอังกฤษ เรียก Mexica lime, West Indian lime, และ Key lime หรือเรียก lime สั้นๆ ก็ได้ สาเหตุที่มีหลายชื่ออาจเป็นเพราะเป็นพืชต่างถิ่น จึงไม่มีชื่อดั้งเดิมในภาษานั้นๆ ทำให้เกิดการเสนอชื่ออื่นๆ มาหลายชื่อก็เป็นได้ ส่วนในประเทศไทยยังเรียกอีกหลายชื่อ เช่น โกรยชะม้า, ปะนอเกล, ปะโหน่งกลยาน, มะนอเกละ, มะเน้าด์เล, มะลิ่ว, ส้มมะนาว, ลีมานีปีห์, หมากฟ้า

อนึ่ง คำว่า เลมอน (lemon) ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ผลส้มอีกชนิดหนึ่ง ที่หัวท้ายมน ไม่ใช่ผลกลมอย่างมะนาวที่เรารู้จักกันดี สำหรับ มะนาวเทศ (Triphasia trifolia) นั้น เป็นพืชในวงศ์เดียวกัน (Rutaceae) กับมะนาว แต่ต่างสกุล ส่วน มะนาวควาย หรือ ส้มซ่า (Citrus medica Linn. Var. Linetta.) เป็นพืชสกุลส้มเช่นเดียวกัน แต่ต่างชนิด (สปีชีส์) กัน

ส้มนาวเป็นภาษาใต้ที่ใช้เรียกมะนาว เช่นเดียวกับทางภาคอีสานเรียกผลไม้บางอย่างว่า"บัก"ในการขึ้นต้น เช่นบักม่วงที่หมายถึงมะม่วง คำว่าส้มในภาษาใต้จะใช้เรียกผลไม้บางชนิดที่มีรสเปรี้ยว อย่าง ส้มนาว ส้มขาม เป็นต้นมะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วย

มะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงตา บำรุงผิว และยังสามารถมีฤทธิ์ในการกัดด้วยเป็นต้น


วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประโยชน์ของเห็ดชนิดต่างๆ

ประโยชน์ของเห็ดชนิดต่างๆ


  1. เห็ดหอม หรือ เห็ดชิตาเกะ เป็นยาอายุวัฒนะ เพราะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็งด้วย และมีกรดอะมิโนถึง 21 ชนิด มีวิตามิน บี 1 บี 2สูงพอๆ กับยีสต์ มีวิตามินดีสูง ช่วยบำรุงกระดูกและมีปริมาณโซเดียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงกำลัง บรรเทาอาการไข้หวัดชาวจีนยกให้้เห็ดหอมเป็็นอาหารต้้นตำรับ “อมตะ”
  2. เห็ดหูหนู  เป็นกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวในผู้สูงอายุ ทำให้ภูมิต้านทานร่าง กายดี ขึ้น รว มทั้งช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง เห็ดหูหนูขาวช่วยบำรุงปอดและไต
  3. เห็ดหลินจือ มีสารสำคัญ เช่น เบต้ากลูแคนซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุเช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคความดันโลหิตสูง
  4. เห็ดกระดุม หรือ เห็ดแชมปิญองรูปร่างกลมมน คล้ายกระดุมที่มีขนาดใหญ่ ผิวเนื้อนวล มี ให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋อง มีบทบาทในการรักษาและป้อง กันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่ สุดโดยสารบางอย่างในเห็ด นี้จะไปช่วยยับยั้งเอนไซม์อะโรมาเตส ทำให้เกิดการยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน  เมื่อร่างกาย ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย
  5. เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าและเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจ ริญเติบโตเป็นช่อ ๆคล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้ามีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำ และเนื้อเหนียวหนานุ่ม อร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคหวัดช่วยการไหลเวียนของเลือด และโรคกระเพาะ
  6. เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าว ชื้น ๆ โคน มี สีขาว ส่วนหมวกมีสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ให้ วิตามินซีสูง และ มีกรดอะ มิโนสำคัญอยู่หลายชนิดหากรับประทาน เป็นประจำจะช่วยเสริม ภูมิคุ้มกันการ ติดเชื้อต่างๆ อีก ทั้งยังช่วยลดความดันโลหิตและเร่งการสมานแผล
  7. เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็ก ๆ ขึ้นติดกัน เป็นแพ รส ชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใ ส่ กับสลัด ผักก็ ได้ ถ้าชอบสุกก็ นำ ไปย่าง ผัดหรือลวกแบบ สุกี้ ถ้ากินเป็นประจำ จะช่วยรักษาโรคตับโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบเรื้อรัง
  8. เห็ดโคน ช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้บิดแก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ การทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่า น้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด เช่นเชื้อไทฟอยด์
เห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมเอามาวิเคราะห์ว่ามีสรรพคุณทางยานั้นส่วนใหญ่เป็นเห็ด ชนิดที่คนมักนำมาปรุงอาหารและหาได้ง่าย เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าเห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู และ เห็ดหลินจือ อีกทั้งผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าเห็ดแชมปิญอง มีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด เมื่อเทียบกับเห็ดรับประทานได้ชนิดอื่นๆโดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วย ยับยั้งเอ็นไซม์ aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิง วัยหมด ประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย และในประเทศญี่ปุ่นได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าในเห็ดหอม ให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคน ถึง 2 ชนิดได้แก่ lentinan และ LEM (Lenti nula edodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สาร lentinan กับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัดก็พบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย เห็นความอัศจรรย์ของพืชตระกูลต่ำหรือยังคะ ไม่ได้ด้อยประโยชน์เหมือนทีโดนกล่าวหาเลย
ที่มา http://www.meedee.net/magazine/med/foods-security/1550

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมุนไพรที่นิยมนำมาทำอาหาร

สมุนไพรที่นิยมนำมาทำอาหาร


อาหารไทยมีลักษณะโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องการผสมผสานทางคุณค่าอาหารและสรรพคุณทางยาเพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพสูงสุดทั้งในแง่การป้องกันและการบำรุงรักษา ในปัจจุจบันอาหารไทยกำลังได้รับความนิยมระดับนานาชาติ มีร้านอาหารไทยจำนวนมากเปิดในเมืองใหญ่ต่างประเทศ เช่น ลอสแอนเจลลิสและนิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกา กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษและเมืองต่างๆ อีกมากมาย

กรรมวิธีในการจัดเตรียม ประกอบ ตกแต่งอาหารไทยให้อร่อยต้องเริ่มต้นด้วยความพิถีพิถันในการเลือกซื้อเครื่องปรุงที่สดใหม่ จัดเก็บเพื่อรอนำไปประกอบอาหารด้วยวิธีที่ถูกต้อง วัตถุดิบในส่วนของพืชผักและสมุนไพรที่ใช้ในการทำอาหารไทยมีหลากหลายประเภทและพืชผักสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงอาหารซึ่งพืชผักและสมุนไพรไทยที่เป็นเครื่องปรุงหลักๆ มีดังต่อไปนี้

ใบกระเพรา

ประเภท: ไว้ประกอบอาหาร
สรรพคุณทางยา: ใบสดมีน้ำมันหอมระเหยเป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง นอกยังมีฤทธิ์ลดไขมัน ลดน้ำตาล ลดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดอุดตันและความดันโลหิตสูง

ไม่เฉพาะแต่คนไทยเท่านั้นที่รู้จักรับประทานใบกะเพราเป็นอาหารและยา ชาวเอเชียทุกชาติก็รู้จักใบกะเพราและบางชาติก็รู้จักใช้ประโยชน์จากใบกระเพราด้วย อย่างเช่นชาวอินเดียที่บูชาใบกระเพราเป็นใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ตั้งชื่อให้ว่า โฮลลี่ เบซิลและยังใช้สมุนไพรตัวนี้ปรุงอาหารประจำวัน ซึ่งก็ไม่ต่างกับคนไทยที่อาศัยกลิ่นและรสของใบกระเพราดับกลิ่นคาวและชูรส


อบเชย



ประเภท: ไว้ปรุงรสอาหาร
สรรพคุณทางยา: แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ขับลม ทำให้ท้องเป็นปกติดี ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ย่อยไขมัน แก้อ่อนเพลีย มีสารต้านแบคทีเรียและสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวาน
นิยมใช้อบเชยในการทำเครื่องแกงเช่น พริกแกงกระหรี่ประเภทผัด ใช้เป็นไส้กระหรี่ปั๊ปหรือใช้ร่วมกับโป๊ยกั้กในอาหารคาวประเภทต้มเช่น พะโล้และเนื้อตุ๋น ส่วนในประเทศแถบตะวันตก มักใส่อบเชยในของหวาน เช่น ซินนามอนโรลล์ ใช้ผงอบเชยละเอียดโรยหน้ากาแฟใส่นมและนอกจากนี้ยังมีลูกอม หมากฝรั่งและยาสีฟันรสอบเชยอีกด้วย


พริกขี้หนู

ประเภท: ไว้ปรุงรสอาหาร
สรรพคุณทางยา: บรรเทาอาการไข้หวัดและการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น ลดการอุดตันของหลอดเลือด ลดปริมาณสารโคเลสเตอรอล บรรเทาอาการเจ็บปวด
พริกขี้หนูโดยปกติผลมักชี้ขึ้น มีลักษณะทั้งแบนๆ กลมยาวจนถึงพองอ้วนสั้น ขนาดของผลมีตั้งแต่ขนาดผลเล็กไปจนกระทั่งมีผลขนาดใหญ่ ผลแก่มีรสเผ็ดจัด ในการนำมาประกอบอาหารสามารถใช้ได้ทั้งในรูปพริกสด พริกแห้ง พริกป่นหรือนำมาดองกับน้ำส้ม พริกเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำพริกแกง ใช้ปรุงรสอาหารให้มีรสเผ็ดตามต้องการในอาหารไทยทุกประเภท


พริกชี้ฟ้า

ประเภท: ไว้ปรุงรสอาหาร
สรรพคุณทางยา: พริกชี้ฟ้าทำให้เจริญาอาหาร ช่วยระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้น แก้หวัด ขับลม ช่วยสูบฉีดโลหิต บำรุงธาตุ และยังมีวิตามินเอสูง ซึ่งเป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระอันก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กะเพรามีสรรพคุณเป็นสมุนไพรชั้นเลิศ

กะเพรามีสรรพคุณเป็นสมุนไพรชั้นเลิศ

พูดก็พูดนะครับ อาหารไทยเรานี่จัดว่าเป็นยา มากกว่าอาหารที่ใดในโลกก็ว่าได้นะครับลองคิดดูนะครับ ใบกะเพราะใครจะไปคิดว่ามีประโยชน์ขนาดนี้หละครับ 



กะเพรา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Ocimum sanctum) เป็นไม้ล้มลุก แตกกิ่งก้านสาขา สูง 30 - 60 ซม. นิยมนำใบมาประกอบอาหารคือ ผัดกะเพรา กะเพรามี 3 พันธุ์ คือ กะเพราแดง กะเพราขาว และ กะเพราลูกผสมระหว่างกะเพราแดงและกะเพราขาว

กะเพรามีชื่อสามัญอื่นอีกคือ กอมก้อ (เชียงใหม่) กอมก้อดง (เชียงใหม่) กะเพราขน (กลาง) กะเพราขาว (กลาง) กะเพราแดง (กลาง) ห่อกวอซู (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) ห่อตูปลู (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) อิ่มคิมหลำ (เงี้ยว แม่ฮ่องสอน) และ อีตู่ไทย (ตะวันออกเฉียงเหนือ)


สรรพคุณกะเพรา

ใบ บำรุงธาตุไฟธาตุ ขับลมแก้ปวดท้องอุจจาระ แก้ลมตานซาง แก้จุกเสียด แก้คลื่นเหียนอาเจียน และขับลม
เมล็ด เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดจะพองตัวเป็นเมือกขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละอองนั้นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย
ราก ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ[
น้ำสกัดทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ในใบมีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกเสียด
ใบและกิ่งสดเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08-0.10 ซึ่งมีราคา 10,000 บาทต่อกิโลกรัม
 

กะเพราลดน้ำตาลและไขมัน
ข้าวผัดกระเพรา เป็นอาหารที่ทุกคนมักจะรู้จัก และคุ้นเคยอย่างดี สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็น อาหารที่ปรุงง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายแถมรสชาติก็อร่อย 

         นอกจากจะมีกลิ่นหองเฉพาะตัว ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย เช่น ใบสดของกะเพรามีน้ำมัน หอมระเหยอยู่ ซึ่ง ประกอบด้วย linaloo และmethyl chavicol เป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อปวด ท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อน สัก 1 กำมือ มาต้มให้ เดือด แล้วกรองเอาน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็ก ทารกให้นำเอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำนำมา ผสมกับ น้ำยามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณ รอบๆ สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของ เด็กได้ และน้ำที่ เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลาก เกลื้อนได้ นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือนำมาแกงเป็นอาหาร ได้อีกด้วย 

         สำหรับ ใบแห้ง ใช้ชงดื่มกับน้ำ แก้ท้องขึ้น และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้น สามารถยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ ซึ่งจะมีฤทธิ์ ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ดกะเพรา เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือก ขาว ให้ใช้พอกในบริเวณตา เมื่อตามีผงหรือฝุ่น ละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละออง จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาของเราช้ำ รากกะเพรา ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ ทั้งนี้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า กะเพรา มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด และลดไขมันได้

 

ข้อมูลจาก
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มะพร้าวมีสรรพคุณเป็นสมุนไพร

มะพร้าวมีสรรพคุณเป็นสมุนไพร


สรรพคุณของมะพร้าว

- ธรรมชาติบำบัดถือว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย



- มะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่าง ๆ ของลำต้นมะพร้าวกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก น้ำมะพร้าวหรือเนื้อมะพร้าวเป็นอาหารที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งเพราะบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม ฯลฯ



- มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีด่างสูง น้ำมะพร้าวและกะทิสามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไปได้ คนไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลางไม่เป็นทั้งหยินและหยางมีสรรพคุณในการขับพยาธิ

- สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกันให้ดื่มแต่น้ำมะพร้าวอย่าให้ทานอย่างอื่น เพราะร่างกายจะดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

- แม่ที่เพิ่งคลอดบุตรไม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกกินสามารถให้น้ำมะพร้าวเสริมน้ำนมแม่ได้ เพราะมีความบริสุทธ์กว่านมผงหรือนมวัว ไม่มีสารเคมีเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็ก ถ้าผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีรอบเดือนติดต่อกันไม่หยุดให้กินแต่น้ำมะพร้าวอย่างเดียวครั้งที่ดื่มอาการเหล่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้นแต่ก็เป็นสิ่งดีเพราะร่างกายถูกกระตุ้นให้ขับของเสียออกมา

- น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ นอกจากจะมีประโยชน์แล้วยังทำให้ร่างกายสดชื่นไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตามคนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าว

- น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลยไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมงแม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามควรกินให้หมดทีเดียว ผลไม้แต่ละอย่างมีพลังชีวิตถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้พลังชีวิตของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ

- ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าวควรต้องระวังเรื่องสารฟอกขาวหากเป็นไปได้ควรซื้อเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง เมื่อต้องการดื่มค่อยตัดทีละลูกจากทะลาย

ประโยชน์ของมะพร้าว

- ในผลมะพร้าวอ่อนจะมีน้ำอยู่ภายในเรียกว่าน้ำมะพร้าว ใช้เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ได้เนื่องจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียม นอกจากนี้น้ำมะพร้าวยังมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรคและเป็นสารละลายไอโซโทนิก (สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ซึ่งไม่ทำให้เซลล์เสียรูปทรง) ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงสามารถนำน้ำมะพร้าวไปใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดเวน (หลอดเลือดดำ) ในผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดผิดปกติได้

- น้ำมะพร้าวสามารถนำไปทำวุ้นมะพร้าวได้ โดยการเจือกรดอ่อนเล็กน้อยลงในน้ำมะพร้าว
- เนื้อในของมะพร้าวแก่ นำไปทำกะทิได้ โดยการขูดเนื้อในเป็นเศษเล็ก ๆ แล้วบีบเอาน้ำกะทิออก
- กากที่เหลือจากการคั้นกะทิยังสามารถนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ได้

- ยอดอ่อนของมะพร้าว หรือเรียกอีกชื่อว่า หัวใจมะพร้าว (coconut’s heart) สามารถนำไปใช้ทำอาหารได้ ซึ่งยอดอ่อนมีราคาแพงมาก เพราะการเก็บยอดอ่อนทำให้ต้นมะพร้าวตายด้วยเหตุนี้จึงมักเรียก ยำยอดอ่อนมะพร้าวว่า "สลัดเจ้าสัว" (millionaire's salad)

- ใยมะพร้าว นำไปใช้ยัดฟูก ทำเสื่อ หรือนำไปใช้ในการเกษตร
- น้ำมันมะพร้าว ได้จากการบีบหรือต้มกากมะพร้าวบด นำไปใช้ในการปรุงอาหารหรือนำไปทำเครื่องสำอางก็ได้และในปัจจุบันยังมีการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าวอีกด้วย
- กะลามะพร้าว นำไปใช้ทำสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เช่น กระบวย โคมไฟ กระดุม ซออู้ ฯลฯ
- ก้านใบ หรือทางมะพร้าว ใช้ทำไม้กวาดทางมะพร้าว
- จั่นมะพร้าว(ช่อดอกมะพร้าว)ให้น้ำตาล



ขอขอบคุณข้อมูลจาก samunpri เเละ คลิปจาก youtube

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ดอกไม้มีสรรพคุณทำเป็นสมุนไพร

ดอกไม้มีสรรพคุณทำเป็นสมุนไพร


ดอกไม้ นับวันดอกไม้ไทยก็จะหาดูได้ยาก มีอยู่บางชนิดเท่านั้นที่ยังคงปลูกเอาไว้ เป็นไม้ประดับ บางชนิดเป็นต้นไม้ใหญ่ ต้องปลูกไว้ในสวน ถ้าไม่มีดอกก็ดูไม่ออกว่าเป็นต้นอะไร จึงขอรวบรวมไม้ไทยที่รู้จัก นอกจากจะมีดอกสวยมีกลิ่นหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยารวมอยู่ด้วย เพื่อเป็นความรู้ให้ประโยชน์กับชีวิตประจำวัน



ดอกกระดังงาไทย เป็นไม้ยืนต้น ใบเขียวและโต ดอกออกเป็นกลีบ ๆ ยาวและอ่อน เกสรกลางแบนสีเขียว ๆ เหลือง กลิ่นหอม ประโยชน์ทางยา ใบและเนื้อไม้ ดอก ต้มรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะ ดอกปรุงเป็นยาหอมแก้ลม วิงเวียน ชูกำลังทำให้ใจชุ่มชื่น นำดอกมาลนไฟใช้อบขนมไทยให้หอม
ดอกกระถินขาว เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดย่อย ใบเล็กเป็นฝอย ดอกขาวกลมเท่าใบพุทรา ดอกใช้เป็นยาบำรุงตับ แก้เกล็ดกระดี่ขึ้นที่ตา

ดอกขจร เป็นไม้เถาเลื้อย มีสรรพคุณทางยา ใช้รากผสมยาหยอดรักษาตา รับประทานทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา ทำให้รู้รสอาหาร ดับพิษ ทำอาหาร

ดอกขี้เหล็ก ต้นขี้เหล็กเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ราก ลูก ดอก ใบ รวมกัน รับประทานเป็นยาถ่ายพิษ กษัย พิษ ไข้ พิษเสมหะ เหน็บชา

ดอกข้าวสาร เป็นต้นไม้ปลูกประดับลงดิน กลางแจ้ง ให้เลื้อยพันรั้ว รากใช้ทำยาหยอดตา แก้ตาฝ้า ตามัว ตาแดง เข้ายาถอนพิษ ยาเบื่อเมา ดอกนำมาทำแกงส้มได้

ดอกเข็มขาว เป็นต้นไม้พุ่ม ใช้ดอกใส่พานบูชาพระ ให้ประโยชน์ในทางยา รากมีรสหวาน รับประทานแก้โรคตา เจริญอาหาร

ดอกเข็มแดง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ให้ประโยชน์ทางยา รากแก้เสมหะ แก้กำเดา บำรุงไฟธาตุ แก้บวม แก้ตาพิการ ดอกนำมาชุปแป้งทอดเป็นเหมือดในขนมจีนน้ำพริก

ดอกแค เป็นต้นไม้ขนาดกลาง ใบเล็กกลมยาวเป็นคู่ ๆ ดอกคล้ายดอกถั่ว ใช้ดอกใบ เปลือก ราก เป็นยา ดอกนำมาต้มจิ้มน้ำพริก ทำแกงส้ม ประโยชน์ในทางยา เปลือกนำมาต้ม คั้นน้ำ แก้ท้องร่วง แก้บิด แก้มูกเลือด คุมธาตุ

ดอกการะเกด เป็นพวกเตย ลำเจียก มีดอกพุ่มแลบออกมาตามกลีบต้น

ดอกกาหลง ดอกขาวใหญ่ ขนาด 5-8 ซ.ม. ดอกเป็นช่อแบน ช่อละ 3-10 ดอก กลิ่นหอมเย็น ดอกใช้แก้ปวดศรีษะ ลดความดันโลหิต แก้โรคโลหิตออกตามไรฟัน แก้เสมหะพิการ

ดอกกรรณิการ์ ดอกสีขาวคล้ายดอกพุดฝรั่ง ออกเป็นช่อ ก้านดอกสีแดง สีส้ม สีจากก้านดอกคั้นเอาน้ำไปทำสีขนม และย้อมผ้าได้ ต้มดื่มแก้ปวดศรีษะ ใบใช้บำรุงน้ำดี ดอกใช้แก้ไข้ แก้ลม แก้ผมหงอก น้ำที่ต้มดอกกรรณิการ์ อาบบำรุงผิวหนังให้สดชื่น ต้นและราก มีรสหวานและฝาด ต้มหรือฝนผสมน้ำสำหรับจิบแก้ไอ

ดอกแก้ว ดอกเล็กสีขาวสะอาด มีกลีบ 5 กลีบ เกสรสีขาวปนเหลืองหอม กลิ่นแรง ผลคล้ายมะแว้งลูกเขื่อง ๆ เป็นยาขับประจำเดือน เรียกว่ายาประสะใบแก้ว ใช้เป็นยาแก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ ผายลม บำรุงโลหิต
ดอกกฤษณา ดอกใหญ่เป็นช่อ ดอกมีกลิ่นหอม บำรุงโลหิต หัวใจ ทำให้ตับและปอดเป็นปกติ ใช้เป็นเครื่องปรุงยาหอม แก้ลม หน้ามือวิงเวียน ผสมเครื่องหอมทุกชนิด เช่น ธูปหอม น้ำอบไทย น้ำมันจากเมล็ด รักษาโรคเรื้อน และโรคผิวหนัง

ดอกคัดเค้า มีสรรพคุณในทางยา มีรสฝาด แก้โลหิตเป็นพิษ และขับเสมหะ แก้ไข้ ใช้ใบแก้โลหิตซ่าน ดอกแก้โลหิตในกองกำเดา ผลใช้ขับโลหิต ประจำเดือน ต้นใช้บำรุงโลหิต รากแก้วต้ม แก้โลหิตออกตามไรฟัน ผลใช้ต้มดื่ม ขับฟอกโลหิตเน่าเสียของสตรี และใช้เป็นยาบำรุงโลหิต

ดอกบัวหลวง มีทั้งสีชมพูและสีขาว ใช้บูชาพระ เมล็ดทั้งอ่อนและแก่รับประทานได้ เมล็ดบัวทำอาหารทั้งของหวานและของคาว เมล็ดบัวแก่จัดนำมาทำแป้งขนม รากและเหง้า เอามาต้มน้ำดื่ม แก้ร้อนใน ในทางยา ใช้เกสรเหง้า และเมล็ดบัวเป็นเครื่องสมุนไพร เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ แก้เสมหะ แก้พุพอง
ดอกลำเจียก ดอกโตมีเกสรอยู่กลางรอบนอก คล้ายใบอ่อน มีสีขาวหุ้มอยู่ มีกลิ่นหอมเย็น มีชื่อเรียกลำจวน รัญจวน ปาหนัน ใบไม้จำพวกเตยใบใหญ่ รากแก้พิษไข้ พิษเสมหะ พิษโลหิต ขับปัสสาวะ หนองใน มุตกิด แก้นิ่ว

ดอกเล็บมือนาง มี 3 สี ขาว ชมพู และแดง ใบและต้นขับพยาธิ ตาน ทราง ผล รับประทานทำให้หายสะอึก รากปรุงเป็นยาขับไส้เดือน แก้อุจจาระเป็นฟอง และโลหิตขาวมีกลิ่นเหม็นคาว ใบใช้โขลกพอแหลก คั้นเอาน้ำชโลมทาแผล ฆ่าเชื้อโรคสำหรับเด็ก นิยมปลูกริมรั้วเพื่อดูดอกสวย

ดอกสารภี ดอกเป็นช่อมีกลิ่น สีขาว เกสรสีเหลือง ใช้ดอกปรุงเป็นยาหอม แต่กลิ่นเป็นยาบำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น เป็นยาชูกำลัง

ดอกเบญจมาศ กลีบดอกเป็นฝอย มีหลายสี ทั้งดอกขนาดใหญ่และขนาดเล็ก นำมาตากแห้ง ใช้ชงน้ำ มีกลิ่นหอม ดื่มแก้กระหายน้ำ คล้ายดอกไม้ที่คนจีนเรียกเก๊กฮวย

ดอกประยงค์ ดอกกลมเล็กคล้ายเมล็ดไข่ปลา หรือสาคู มีสีเหลืองสดมีกลิ่นหอมแรง รากใช้เป็นยา ทำให้อาเจียน ถอนพิษ เมื่อมีอาการเมา

ดอกจำปา ดอกเป็นกลีบยาว สีเหลืองจัด สีส้มหรือสีแดง มีกลิ่นหอม ดอกมีรสขม เปลือก ราก ใช้รักษาโรคเรื้อน หิด ฝีที่มีหนอง ดอกและเมล็ดใช้ทำยาแก้ไข้ แก้โรคธาตุเสีย คลื่นเหียน อาเจียน วิงเวียนศรีษะ
ดอกสร้อยฟ้า หรือดอกสร้อยอินทนิล เป็นดอกสีฟ้า เป็นดอกสีฟ้า เป็นไม้เถาออกดอกเป็นช่อย้อย
ดอกวัลย์ชาลี หรือวัลย์ชาลี ชิงช้าชาลี ดอกสีเหลืองเป็นช่อเล็ก ๆ สกุลเดียวกับบอระเพ็ด ต้นมีรสขม แก้ฝีดาษ แก้ไข้เหลือง แก้ฝีกาฬ แก้ไข้ บำรุงกำลัง บำรุงไฟธาตุ เจริญอาหาร ใบฆ่าพยาธิ แก้มะเร็ง ดอกใช้ขับพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู ใบสดนำมาต่ำพอกฝี ทำให้เย็น แก้ปวด ถอนพิษ ดับพิษทั้งปวง แก้กระหายน้ำ ขับน้ำย่อยอาหาร

ดอกตาเสือ หรือมะหัวกาน (พยัพ) ดอกมีสีเหลืองคล้ายดอกประยงค์ มีกลิ่นหอม ไม้ตาเสือมีรสฝาด เปลือกใช้แก้พิษเสมหะ และขับโลหิต ผลใช้แก้ปวดตามข้อ ใบใช้ แก้บวม

ดอกบานเย็น ลักษณะดอกยาว เป็นปากแตรเล็ก มีสีเหลืองแดงและขาว บานตอนเย็น ดอกขยี้ทาหน้าแก้สิว บานเย็นดอกขาวใช้เป็นเครื่องสำอางบำรุงผิว ชาวจีนเรียก ตีต้าเช้า ปรุงเป็นยาขับเหงื่อ แก้ไข้ ระงับความร้อน

ดอกพิกุล ดอกเล็ก ๆ มีสีขาวสะอาดตา ริมดอกหยัก บานเวลาใกล้รุ่ง มีกลิ่นหอมแรง ทนทาน แม้ดอกจะเหี่ยวแห้งแล้ว ดอกแห้งเป็นสีน้ำตาลอ่อน ออกดอกตลอด ทั้งปี ใช้ปรุงเครื่องหอมอบผ้า

ดอกนางนวล ดอกมีสีแดงแกมขาว ลูกเป็นหนามเหนียว ใบต้มเป็นยา จิบแก้ไอ ดับพิษเสมหะ รากเป็นยาถอนพิษ แก้ไข้ ต้นและใบเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ

ดอกนางแย้ม ดอกสีขาว ซ้อนหลายชั้น กลีบดอกสีม่วง มีกลิ่นหอมแรง รากใช้แก้พิษ ฝีภายใน ขับปัสสาวะ แก้โรคลำไส้ ไตพิการ

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมุนไพรรักษาลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง


สมุนไพรรักษาลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของชะอม

อีกหนึ่งผักดี ๆ ที่อยากจะแนะนำและจัดว่าเป็นสมุนไพรไทยอีกด้วยนั้นคือ ชะอม นั่นเองค่ะ และเราก็มาพร้อมกับสาระน่ารู้กันอีกเช่นเคยกับ สรรพคุณของชะอมและประโยชน์ของชะอม หลายคนที่ชอบกินน้ำพริกกระปิน่าจะชอบชะอมนะ ทำไมต้องชอบชะอมนั่นเหรอค่ะ ก็ไข่เจียวชะอมไงกินคู่กับน้ำพริกกะปิอร่อยมากมายเลยทีเดียวค่ะ แต่ สรรพคุณของชะอม และ ประโยชน์ของชะอม ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้เพราะมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรก็ช่วยให้เรื่องของการรักษาสุขภาพและรักษาโรคได้อีกด้วย นั้นเราอย่ารอช้ามาดู สรรพคุณของชะอม และ ประโยชน์ของชะอม กันเลยดีกว่า





สรรพคุณ / ประโยชน์ของชะอม
คุณค่าทางอาหารของชะอม

ยอดชะอมใบอ่อนมีรสจืดกลิ่นฉุน (กลิ่นหอมสุขุม) ช่วยลดความร้อนของร่างกายยอดชะอม 100 กรัมให้พลังงานกับสุขภาพ 57 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยเส้นใย 5.7 กรัม แคลแซียม 58 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม วิตามินเอ 10066 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัมวิตามินบีสอง 0.25 มิลลิกรัม ในอาซิน 1.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 58 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของชะอม

ส่วนที่เป็นผักฤดูกาล “ยอดอ่อนใบอ่อน” เป็นไม้ที่ออกยอดทั้งปีแต่จะออกมากในฤดูฝน ชาวเหนือนิยมรับประทานยอดชะอมหน้าแล้งเพราะผักชะอมหน้าฝนจะมีรสเปรี้ยวกลิ่นฉุนบ้างครั้งทำให้ปวดท้อง การปรุงอาหารชะอมเป็นผักที่รับประทานได้ในทุกภาคของเมืองไทย วิธีการปรุงเป็นอาหารคือรับประทานเป็นผักจิ้มโดยการลวกหรือนึ่งให้สุกหรือใช้ยอดอ่อนใบอ่อนเด็ดเป็นชิ้นสั้น ๆแล้วชุบกับไข่ทอดรับประทาน ร่วมกับน้ำพริกกะปิชาวเหนือรับประทานร่วมกับ ส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ นอกจากนี้ชาวเหนือและชาวอีสานยังนิยมนำไปปรุงเป็นแกงเชน ชาวอีสานมักนำไปแกงรวมกับปลา ไก่ เนื้อ กบ เขียด ต้มเป็นอ่อมหรือแกง แกงลาว และ แกงแค ของชาวเหนือเป็นต้น

สรรพคุณของชะอม

ใบอ่อนที่เรามักนำมาประกอบอาหารนั้นก็มีสรรพคุณช่วยลดความร้อนในร่างกาย รากแก้ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ มีวิตามินเอสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งมีลูกอ่อนนั้นไม่ควรกินชะอมเพราะจะทำให้น้ำนมแห้ง

- ราก แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ่อ ขับลมในลำใส
- แก้ลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก the-than ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผลไม้ที่มีประโยชน์เท่าสมุนไพร

ผลไม้ที่มีประโยชน์เท่าสมุนไพร


 พูดถึง "ส้ม" หลายคนบอกว่า...ฉันรู้จักดี เพราะส้มเป็นผลไม้แสนฮิต มีให้เลือกหลายชนิด ที่สำคัญส้มไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายด้วย




          ส้มเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ที่ให้ทั้งรสเปรี้ยวและหวาน จึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือ ให้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น

           ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

           เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย

           ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน

           มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น


ส้ม...ลักษณะเด่นที่แตกต่าง

          ส้มในบ้านเรามีหลายชนิด ทั้งส้มให้ความเปรี้ยวและส้มให้ความหวาน แต่ละชนิดก็มีลักษณะเด่นและการนำไปใช้แตกต่างกันไป อาทิเช่น

           ส้มซันคิสต์ มีรสชาติอร่อยเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำทั้งน้ำและเปลือกมาทำขนม ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ เค้ก หรือแยม

           ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวานฉ่ำ เหมาะสำหรับกินสดๆ หรือคั้นดื่ม เพราะเปลือกบางทำให้คั้นได้ง่าย

           ส้มจุก มีรสชาติและสีใกล้เคียงกับส้มเช้ง คือ หวานอ่อนๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่ต้องการลดน้ำหนักค่ะ

           ส้มโอ เป็นส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาว เช่น ยำส้มโอ ใส่ในข้าวยำน้ำบูดู ใส่ในสลัด หรือทำอาหารหวาน เช่น ส้มโอลอยแก้ว ส่วนเปลือกของส้มโอที่มีสีขาวนุ่ม รสชาติขมๆ อยู่ติดกับเปลือก ยังสามารถนำมาเชื่อมได้อีกค่ะ

           ส้มจี๊ด คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมกินเพราะเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมกินโดยเฉพาะนำมาคั้นทำน้ำส้ม หรือนำมาอบแห้งค่ะ

           ส้มจีน เป็นส้มที่กินสด หรือนิยมนำมาไหว้เจ้าหรือไหว้บรรพบุรุษ เพราะคำว่าส้มในภาษาจีนจะฟังเหมือนคำว่าทอง และสีก็เหมือนทองด้วย จึงถือเป็นผลไม้มงคลสำหรับชาวจีนค่ะ

           เลมอน เป็นส้มที่มีรสชาติคล้ายมะนาว แต่จะมีรสหวานนิดๆ ส่วนใหญ่เป็นส้มที่ชาวต่างชาตินิยมนำมาทำอาหารแทนมะนาว เพราะไม่มีมะนาว หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่มในฤดูร้อน เพราะต่างประเทศไม่มีมะนาวนั่นเองค่ะ

           มะนาว เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่ให้ความเปรี้ยวมากที่สุด จึงนำมาปรุงอาหารได้สารพัด เช่น ต้มยำ ยำต่างๆ น้ำพริก รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด ฯลฯ

           มะกรูด เป็นหนึ่งในตระกูลส้มชนิดเดียวที่ไม่ได้นำน้ำหรือความเปรี้ยวมาปรุงอาหาร เพราะคนส่วนใหญ่จะนำกลิ่นหอมจากเปลือกมะกรูดมาใช้มากกว่า เช่น ใส่ในแกงมัสมั่น แกงเทโพ หรือทำหน้าหมี่กรอบ ส่วนน้ำมะกรูดนำมาทำเป็นยาสระผมค่ะ


 ส้ม...กินอย่างไรให้เหมาะ

          ส้มไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะส้มยังมีประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กของคุณอีกด้วย

          สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำส้มคั้น ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าต้องให้หลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมกับเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ที่สำคัญการให้น้ำส้มกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตามควรผสมน้ำในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากส้มจะมีรสชาติเข้มข้นการให้น้ำส้มลูกโดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ค่ะ

          พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบ แล้วค่อยให้น้ำส้มอย่างเดียว เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ติดหวานตั้งแต่ตัวน้อยๆ ค่ะ

          สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน ถ้าคิดจะกินส้ม ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง จึงควรกินเป็นผลเพราะจะมีกากใยดีกว่าเป็นน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มหลายผล

 ส้ม...การเลือกซื้อ

          การเลือกซื้อส้มที่มีรสหวาน รสชาติอร่อยนั้น ควรเลือกที่มีผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เช่นเดียวกับมะนาวที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบางก็จะให้น้ำเยอะ ถ้าเป็นส้มเขียวหวานก็จะหวานมาก ยกเว้นมะกรูดค่ะ เพราะธรรมชาติของมะกรูดผิวจะขรุขระไม่เสมอกันอยู่แล้ว

ที่มา 
โดย รักษิตา

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับสมุนไพรไทย


เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับสมุนไพรไทย

รวมบทความเวปน่าสนใจครับ ความรู้ทั้งนั้นครับพี่น้อง

เริ่มจากเกี่ยวกับสุขภาพก่อนเลยครับ

ไม่ว่าคุณจะวุ่นวายแค่ไหน ก็อย่าให้เขาพลาดมื้อเช้า เพราะการกินมื้อเช้าช่วยลดความเสี่ยงสุขภาพไปได้เยอะ ทั้งเรื่องหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และอัลไซเมอร์ ลองดัดแปลงอาหารเช้าทำง่าย ๆ ได้สุขภาพมาแทน เช่น แซนวิชทูน่า หรือปลากะพงอบ ไข่คนใส่มะเขือเทศ ฯลฯ หากไม่มีเวลามาก คุณอาจซื้ออาหาร หรือทำเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน เช่น อบปลาแซลมอนหรือปลากะพงเพื่อเป็นไส้แซนด์วิช  ต้มซุปไก่ใส่มันฝรั่งแล้วเก็บเข้าตู้เย็น ก่อนกินมื้อเช้าก็นำมาอุ่นกินได้ทันที เริ่มต้นวันอย่างดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วจริงไหม
เกี่ยวกับการทำเงิน
refund : money that the government gives back to you when you pay too much in taxes, or have withheld too much from your salary.
หมายถึง เงินคืนภาษี ซึ่งเกิดจากการคำนวณภาษีในรอบสุดท้ายของปีภาษีนั้นแล้วพบว่า ภาษีที่เราได้เสียหรือถูกหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเดือนในระหว่างปีนั้นสูงกว่าข้อกำหนด ซึ่งทางสรรพากรก็จะต้องทำการคืนเงินในส่วนต่างนั้นให้เรา
เกี่ยวกับสมุนไพรไทย
จากวันเวลาอันยาวนานที่ได้ผ่านมาในการทำธุรกิจสิ่งที่ทุกคนในตระกูลเวชพงศายึดมั่นตลอดมาคือคำสั่งสอนของ อากง (นายอิ้วเจีย) ที่ว่าอาชีพค้ายานั้นเป็นกิจการที่ช่วยให้เลี้ยงตัวและครอบครัวได้อย่างพอกินพอใช้ เปรียบเหมือนน้ำซึมบ่อทราย แต่อย่าหวังร่ำรวยมากมาย ข้อสำคัญต้องมีความซื่อสัตย์และจริยธรรมเป็นที่ตั้ง ผู้ที่มาหาซื้อยาไปรักษาโรคนั้นก็มีความทุกข์ยากอยู่แล้ว อย่าซ้ำเติมโดยการค้ายาปลอมหรือหากำไรเกินควรจากคนเหล่านั้นเลย
เกี่ยวกับรถยนต์ รถรุ่นใหม่ ปัญหารถยนต์ครับ
หน้าที่หลัก 4 ประการของยางรถยนต์
1. รับน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุก
2. ลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน
3. เป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังงานขับเคลื่อน และการหยุดรถลงสู่พื้นผิวถนน
4. ทำให้รถเปลี่ยนทิศทางได้ตามความประสงค์
เวปทั่วๆไปน่าสนใจ
คอมพิวเตอร์ IT tablet os
http://computernews.orgfree.com/

เกี่ยวกับมือถือรุ่นใหม่ล่าสุด
http://thaiphone5.orgfree.com/

ขนมหวานไทย
http://kanomvanthai.orgfree.com/

ประเพณีไทย
http://papaneethaibolan.orgfree.com/

การเงินการลงทุน
http://valueinvestor.orgfree.com/

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับ สุขภาพ ธุรกิจส่วนตัว รถยนต์ สมุนไพร


เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับ สุขภาพ ธุรกิจส่วนตัว รถยนต์ สมุนไพร
อันนี้อยู่ในหมวดหมู่ของการรักษาสุขภาพร่างกายให้เเข็งเเรงดี
อันนี้เป็นเวปเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ
อันนี้เกี่ยวกับรถยนต์ไทย
เวปเกี่ยวกับการรถยนต์น่ารู้น่าสนใจ
http://knownewsmotor.orgfree.com/
http://motorthai.orgfree.com
http://knowhowmotor.orgfree.com
เเถมให้
คุณและโทษของอาหารเสริม
อาหารเสริม คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานเพื่อเสริมการรับประทานจากอาหารหลัก อยู่ในรูปของเม็ด เกล็ด ผง แคปซูล ของเหลว หรือในรูปลักษณ์อื่นๆ ที่ใช้รับประทานโดยตรงเสริมการรับประทานอาหารหลักตามปกติทุกวันของคนปกติ และเพื่อเป็นการปัองกันการเกิดโรคต่างๆ
ปัจจุบันนี้พบว่ามีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงร่างกายออกวางจำหน่ายมากมาย อันจะพบได้ตามสื่อโฆษณาต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งบางผลิตภัณฑ์มีการโฆษณาสรรพคุณเกินจริง เช่น ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักและเสริมความงาม เมื่อใช้แล้วจะเห็นผลภายใน 1 สัปดาห์ หรืออาหารเสริมบำรุงสมอง เมื่อทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะทำให้สมองมีความจำดี เป็นต้น และพบว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแต่ละชนิดมีราคาแพงมากและประโยชน์ที่ได้จากอาหารเสริมเหล่านี้ก็ยังไม่ชัดเจน มีมากหรือน้อยเพียงไร ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรพิจารณาถึงคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นด้วย
ประโยชน์ของอาหารเสริมมีอยู่ 3 ประการ
1. ช่วยให้ร่างกายได้รับโภชนาการที่เหมาะสม เนื่องจากทุกคนมีความต้องการที่เหมือนกัน คือ สุขภาพสมบูรณ์ปราศจากโรคภัย จึงมีการคิดค้นอาหารเสริมเพื่อช่วยเพิ่มในส่วนที่ร่างกายขาดไป
2. จะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ เพราะอาหารเสริมจะเข้าไปเสริมในส่วนที่ร่างกายขาดได้ครบถ้วนเต็มที่
3. สามารถช่วยบรรเทาหรือรักษาโรคบางชนิดแทนยาแผนปัจจุบันได้ เช่น น้ำว่านหางจระเข้รักษาอาการโรคกระเพาะ น้ำมันตับปลาค็อด (cod liver oil) ช่วยบรรเทาอาการโรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น นากจากนี้ยังพบว่ามีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแผนปัจจุบัน
การกินอาหารเสริมมากเกินไป บางครั้งพบว่าทำให้เกิดโทษแก่ร่างกายและสูญเสียเงินโดยไม่จำเป็น ซึ่งมีรายงานการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเสริมมากเกินไป อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ เช่น วิงเวียน ปวดศรีษะ อุจจาระเป็นสีดำ ท้องผูก ท้องเสีย มีกลิ่นตัว และเหงื่อออกมาก
ตัวอย่างของผลข้างเคียงของอาหารเสริม
- อาหารเสริมประเภทซุปไก่สกัด มีคุณค่าเท่ากับไข่ไก่ฟองเดียว
- สาหร่ายสไปรูไลน่า จะมีปริมาณกรดนิวคลิกสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์
- รังนกที่ยังไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เลยว่ากินแล้วผิวพรรณอ่อนกว่าวัย แต่มีผลข้างเคียงต่อผู้ที่เป็นลมชัก
- น้ำมันตับปลา ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลไม่หยุด อาจทำให้เกิดสภาวะขาดวิตามินอี และเสี่ยงต่อสารพิษด้วย
- ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน ซึ่งขณะนี้นักวิชาการพบว่ามีผลข้างเคียงต่อการเป็นมะเร็ง
ถ้าจำเป็นต้องทานอาหารเสริมและให้คุณค่าต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ควรศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนบริโภค ควรเลือกให้เหมาะสมกับอายุและสภาพร่างกาย สภาพการดำเนินชีวิต สำหรับผู้ที่กินยาเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อน ส่วนสตรีที่มีครรภ์ก็ควรทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินหรือกรดโฟลิกเท่านั้น แต่ขอแนะนำว่าถ้าท่านรับประทานอาหารให้ถูกต้องและครบ 5 หมู่แล้ว อาหารเสริมก็คงไม่จำเป็นสำหรับท่านอีกต่อไป แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นอีกด้วย แต่สำหรับผู้ที่ทำงานหนักหรือสุขภาพไม่แข็งแรง

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมุนไพรรักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง

สมุนไพรรักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง


ท้อ



ชื่ออื่น : หุงหม่น, หุงคอบ (เชียงใหม่), มักม่วน, มักม่น (ภาคเหนือ)
ชื่อสามัญ : Nectarine, peach
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Prunus persica Batsch.
วงศ์ : ROSACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้น : เป็นพรรณไม้ผลัดใบ มีขนาดสูงประมาณ 8 เมตร ลักษณะลำต้นและกิ่งอ่อนจะมีผิว
เปลือกเกลี้ยงไม่มีขน เป็นสีน้ำตาลแดง หรือสีเขียวอ่อน

ใบ : มีลักษณะเป็นรูปยาวรี ปลายใบแหลมเรียว ริมขอบใบจักตื้นเล็กน้อย ขนาดของใบกว้างประมาณ 1-1.2 นิ้ว ยาวประมาณ 3-6 นิ้ว และความยาวของก้านใบประมาณ 7-12 มม.

ดอก : ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวตามบริเวณกิ่ง ลักษณะของดอกมีกลีบเป็นสีชมพูอ่อน ดอกหนึ่ง มี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปมนรีที่โคนดอกมีกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแยกออกเป็น 5 แฉก มีสีแดง ผิวนอกกลีบมีขน ตรงกลางดอกมีเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมีย เป็นเส้นฝอยจำนวนมาก ขนาดของดอกเมื่อบานเต็มที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 นิ้ว

ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปมนรี ปลายแหลม เปลือกนอกของผลมีสีเขียวออกเหลือง ๆ และมีขนสั้น ๆ นิ่มปกคลุม ภายในผลมีเมล็ด อยู่ 1 เม็ด มีลักษณะเป็นรูปมนรี คล้าย ๆ กับรูปหัวใจ เปลือกเมล็ดแข็ง มีร่องลึก

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นได้ดีในบริเวณที่ที่มีอากาศเย็นชื้น มีการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด
ส่วนที่ใช้ : ใบ ดอก ก้านอ่อน ผลสุก เมล็ด เปลือกราก ราก และยางจากลำต้น

สรรพคุณทางสมุนไพร

      1. ราก เปลือกรากหรือต้น ใช้สดประมาณ 30-60 กรัม แล้วนำไปต้มกิน หรือใช้สำหรับภายนอก โดยต้มเอาน้ำชะล้าง ราก เปลือกรากหรือต้นนั้น จะมีรสขม ใช้รักษาโรคดีซ่านและตาเหลือง โดยใช้รากหั่นเป็นฝอย ต้มกินตอนอุ่น ๆ ขณะที่ท้องว่าง ใช้รักษาเยื่อหุ้มกระดูกอักเสบ ใช้รากอ่อนสีขาว ผสมน้ำตาลแดงพอประมาณ แล้วตำพอกตามบริเวณที่เจ็บ นอกจากนี้ยังเป็นยารักษาประจำเดือนไม่ปรกติ ปวดข้อแผลบวม อาเจียนเป็นเลือด กระอักเลือด เป็นแผลมีหนองเรื้อรัง และโรคริดสีดวงทวาร

        2. ใบ ใช้สดประมาณ 30-60 กรัม นำไปต้มน้ำกินหรือใช้สำหรับภายนอก โดยการตำพอก และต้มเอาน้ำชะล้างใบนั้นจะมีรสขม ใช้รักษาอาการปวดหัวจากลมร้อน ใช้ใบตำพอก เป็นในรูจมูก ให้ใช้ใบอ่อนตำ แล้วอุดรูจมูกที่เป็น บริเวณตาบวม ใช้ใบคั้นเอาแต่น้ำทา ตามบริเวณที่บวมเป็นกลากตามบริเวณหน้าและตัว ให้ใช้ใบคั้นเอาแต่น้ำทา รักษาโรคริดสีดวงทวาร ใช้ใบต้มเอาน้ำชะล้างบ่อย ๆ หรือจะใช้รากก็ได้ รักษาโรคอหิวาตกโรค ปวดท้อง อาเจียนให้ใช้ใบหั่นเป็นฝอย นำไปต้มกินตอนอุ่น ๆ เป็นปัสสาวะขัดหรือท้องผูก ให้ใช้ใบคั้นเอาน้ำกิน ครั้งละครึ่งชาม และยังใช้รักษาอาการไข้ โรคมาลาเรีย โรคผิวหนังเรื้อรังมีหนอง เป็นผื่นคันน้ำเหลือง และฆ่าหนอนแมลงที่แผล ใบมีสารจำพวก glycoside ที่มีสูตรโครงสร้างเป็น C22H24O11, naringenin, guinic acid, lycopene มีแทนนินประมาณ 100 มก.% และกลัยโคซัยด์เล็กน้อย

      3. ดอก ใช้แห้งประมาณ 3-6 กรัม นำไปต้มน้ำกินหรือใช้บดเป็นผงผสมกิน ใช้สำหรับภายนอก โดยการตำพอก หรือบดให้ละเอียดเป็นผงทา ดอกนั้นจะมีรสขม ใช้รักษาอาการท้องผูก ให้ใช้ดอกต้มน้ำกินบ่อย ๆ แทนน้ำชาได้ บรรเทาอาการปวดเอวและสะโพก ใช้ดอก รากเข็ก และข้าวสาร ต้มรวมกันให้สุก เอากากออก แล้วกินวันละ 3 เวลา โรคกระเพาะปัสสาวะ ขาบวมน้ำ ปวดเอว และไตมีน้ำคั่ง ใช้ดอกตากให้แห้ง ในที่ร่ม แล้วนำไปบดเป็นผงผสมกับเหล้าอุ่นกินครั้งเดียวหมด เป็นแผลหัวล้าน ใช้ดอกที่ตูมตากให้แห้งในที่ร่ม กับผลหม่อน บดเป็นผงใส่ไขมันหมูแล้วผสมให้เข้ากัน ใช้น้ำขี้เถ้าชะล้างตามบริเวณที่เป็นก่อน แล้วจึงเอายาที่เตรียมไว้ ใช้ทาบริเวณที่เป็น รักษาอาการปวดแน่นหน้าอก ตามบริเวณหัวใจ ให้ใช้ดอกที่แห้งแล้วบดเป็นผงกิน เป็นแผลผื่นคันที่ขา ให้ใช้ดอกผสมกับเกลือ แล้วบดเป็นผงผสมกับน้ำส้มสายชูพอก เป็นโรคพรรดึก ที่มีก้อนอุจจาระแห้งอุดลำไส้อยู่ หรือถ่ายไม่ออก ให้ใช้ดอกสดประมาณ 30 และลูกต๋าวประมาณ 90 กรัม นำไปต้มให้สุก แล้วกินตอนท้องว่าง 2 เวลา เช้าและหลังเที่ยง ท้องลั่นโครกครากแล้วถ่ายของเสียออกมา ในดอกนั้นจะมีสารkaempferol, coumarin, trifolin ส่วนดอกตูมจะมี naringenin

        4. ก้านอ่อน ใช้สดประมาณ 30-60 กรัม นำไปต้มน้ำกิน ใช้สำหรับภายนอก โดยการต้มเอาน้ำอมบ้วนปาก หรือชะล้าง ก้านอ่อนนั้นจะมีรสขม ใช้รักษาอาการปวดตามบริเวณหน้าอก และหัวใจ ใช้ก้านหั่นแล้วแช่กับเหล้า แล้วต้มให้เหลือครึ่งชามแล้วตุ๋นกิน ใช้รักษาแผลในช่องปาก ให้ใช้ก้านสดเคี้ยวอมไว้ แล้วจึงบ้วนทิ้ง

       5. ผลสุก ใช้กิน เป็นผลไม้ จะมีรสเปรี้ยว ชุ่ม ช่วยกระตุ้นน้ำลาย ขับสิ่งคั่งค้าง และช่วยหล่อลื่นในลำไส้ ในผลสุกประมาณ 100 กรัมนั้น จะมีสารพวก คาร์โบไฮเดรต ประมาณ 7 กรัม โปรตีนประมาณ 0.8 กรัม ไขมันประมาณ 0.1 กรัม แคลเซียมประมาณ 8 มก. เหล็กประมาณ 1 มก. ฟอสฟอรัสประมาณ 20 มก. วิตามินประมาณ 6 มก. กรดนิโคตินิคประมาณ 0.7 มก. แคโรทีนราว ๆ 0.01 มก. และไทยอามีนประมาณ 0.01 มก. นอกจากสารนี้แล้วยังพบว่ามีน้ำมันระเหย กรดอินทรีย์ ที่มีตัวหลักคือ กรดซิตริค และกรดมาลิค ส่วนในพวกน้ำตาลนั้นได้แก่ fructose, glucose, xylose, sucrose เป็นต้น

        6. เมล็ด ใช้แห้งประมาณ 5-10 กรัมหรือจะทำเป็นยาเม็ดหรือยาผงกินก็ได้ ใช้สำหรับภายนอกโดยการตำพอกเมล็ดนั้นจะมีรสขมและชุ่ม ใช้เป็นยารักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปรกติหลังคลอด ใช้เมล็ด เอาเปลือกและส่วนที่แหลมออก และรากบัว นำไปต้มน้ำกินเป็นยาขับน้ำคาวปลาหลังคลอด ใช้เมล็ดประมาณ 10 กรัม โกฐเชียงประมาณ 10 กรัม เซียะเจียก เปลือกอบเชยจีน อย่างละประมาณ 1.5 กรัม และน้ำตาลประมาณ 10 กรัม นำไปคั่วให้เป็นถาน แล้วต้มเอากากออก อุ่นเอาแต่น้ำกิน สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่ปรกติ ไม่ใช่เกี่ยวกับโลหิตจาง ให้ใช้เมล็ดร่วมกัน ดอกคำฝอย โกฐเชียง รากพันงู ชนิดละเท่า ๆ กัน นำไปบดเป็นผงให้ละเอียดกิน หรือจะใช้ผสมกับเหล้าอุ่นกินขณะที่ท้องกำลังว่าง มีอาการตกเลือด ให้ใช้เมล็ด แกะเอาเปลือกและส่วนที่เหลือออก

         นำไปต้มแล้วใช้เซียะเจียก เปลือกอบเชยจีน โป่งรากสน และเปลือกต้นโบตั๋นชนิดละเท่า ๆ กัน นำไปบดเป็นผงนำมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วทำเป็นยาเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย กินครั้งละ 3 เม็ด รักษาไข้มาลาเรีย ให้ใช้เมล็ดประมาณ 100 เม็ด ให้เอาเปลือกและส่วนที่แหลมออก ใส่นมแล้วบดให้เป็นของเหลวข้นใส่อึ่งตัง มี (Pb3o4 34.9%) 9 กรัม แล้วปั้นเป็นเม็ดเท่าถั่วเขียวกินครั้งละประมาณ 3 เม็ด ก่อนจับไข้ หรือเริ่มจับไข้กับเหล้าอุ่น ถ้าไม่กินเหล้าก็ให้กินกับน้ำแช่ดอกไม้แทนได้


        บรรเทาอาการปวดฟัน ให้ใช้เมล็ดนำไปเผา แล้วเอาไปกัดไว้ที่ฟันซี่ที่ปวด เป็นลมพิษ บวม ชัก หรือปวดท้อง ปวดเอว ให้ใช้เมล็ด คั่วจนมีควันสีดำ แล้วเอาไปบดจนเป็นของเหลวข้น ผสมเหล้ากิน แล้วนอนห่มผ้าให้มีเหงื่อออก ท้องผูก ใช้เมล็ด รากโงวจูยู้ เกลือแกง คั่วให้สุก แล้วแยกเอาเกลือกับโงวจูยู้ออก เอาเมล็ดท้อกินก่อนอน ตกเลือด และตกขาว ใช้เมล็ดเผาเป็นถ่าน แล้วบดให้เป็นผง แล้วใช้กินกับเหล้าวันละ 3 เวลา มีอาการไอและหอบ ใช้เมล็ดใส่น้ำ แล้วบดเอาแต่น้ำ ใส่ข้าวสารแล้วต้มเป็นข้าวต้มกิน เป็นแผลที่ช่องคลอด เจ็บคันคล้ายกับถูกแมลงกัด หรือมีอาการคันแทบจะทนไม่ได้ ใช้เมล็ดและใบในปริมาณเท่ากัน นำไปตำให้ละเอียด ใช้สำลีชุบสอดไว้แล้วเปลี่ยนวันละประมาณ 3-4 ครั้ง นอกจานี้ในเมล็ดยังมีสาร amygdalin ประมาณ 3.6% น้ำมันระเหยประมาร 0.4% และไขมันประมาณ 45% ในไขมันนั้นยังประกอบด้วย glyceride folinic aci, oleic acid และ glyceride ที่มี folinic acid จำนวนน้อย และยังมี emulsin เป็นต้น


        7. ยางจากต้น ใช้แห้งประมาณ 5-10 กรัม นำไปต้มกินหรือทำเป็นยาเม็ด หรือยาผงกิน ยางจากต้นนั้นจะมีรสขมชุ่มเป็นยารักษานิ่ว ปวดเจ็บ ใช้ยางจากต้น ในฤดูร้อนใช้กินกับน้ำเย็นฤดูหนาวกินกับน้ำแกงจืดวันละ 3 เวลา จนมีก้อนนิ่วหลุดออกมาจึงหยุดยา เป็นโรคบิดถ่ายเป็นมูกเลือดหลังคลอด ใช้ยางจากต้น นำไปผิงไฟให้แห้ง ไม้กฤษณา เกสรตัวผู้ดอกกกช้าง นำไปคั่วให้แห้ง ชนิดละเท่า ๆ กัน บดเป็นผง กินครั้งละ 6 กรัม หลังอาหาร โรคเบาหวาน ใช้ยางจากต้น โดยใช้น้ำอุ่นล้างให้สะอาด ต้มใส่เกลือเล็กน้อยกิน เป็นจุดด่างดำบนผิวหนัง ใช้ยางจากต้นต้มกิน คอแห้ง ใช้ยางจากต้น อมไว้ ยางจากต้นยังมีส่วนประกอบหลักคือ มีสาร galactose, rhamnose, glucuronic acid เป็นต้นข้อห้ามใช้ : 1. สารพิษพวกไซยาไนด์ จะมีอยู่ในใบ ดอก ผลดิบและเมล็ด ห้ามกินสดฉะนั้นก่อนที่ จะนำมากินต้องนำไปต้ม หรือดองก่อน จึงจะใช้กินได้